จะกินอาหารเสริมจำพวกวิตามินรวมหรือกินอาหารอย่างสมดุลดี?

01 ส.ค.

จะกินอาหารเสริมจำพวกวิตามินรวมหรือกินอาหารอย่างสมดุลดี?

ผลิตภัณฑ์อาหารเสริมที่ประกอบด้วยวิตามินและแร่ธาตุต่างๆจำเป็นต่อการมีสุขภาพที่ดีจริงหรือไม่? การรับประทานวิตามินเอ บี ซี ดี รวมทั้งธาตุแคลเ​​ซียม เหล็ก แมกนีเซียม และอื่นๆอีกมากมายวันละครั้งเป็นวิธีง่ายๆในการได้รับวิตามินและแร่ธาตุจากอาหารเสริมเม็ดเล็กๆนี้

อย่างไรก็ตามสรรพคุณของวิตามินรวมยังเป็นข้อโต้แย้งในวงกว้าง ในขณะที่อาหารเสริมอาจจะช่วยได้ถ้าคุณขาดสารอาหารบางอย่าง แต่ในท้ายที่สุดแล้วการมีโภชนาการที่ถูกต้องเหมาะสมยังถือได้ว่าเป็นวิธีวิธีปฏิบัติที่ง่ายและประหยัดที่สุด

ยุคก่อนที่จะมีผลิตภัณฑ์อาหารเสริม มนุษย์กินอาหารเพียงอย่างเดียวเพื่อให้ได้วิตามินที่จำเป็นต่อการทำงานของร่างกายตัวอย่าง เช่น เราสามารถรับวิตามินเอจาก นม ไข่ ตับ และผักสีเขียว วิตามินซีสามารถหาได้ในส้มหรือผักใบเขียวเข้ม ส่วนชีส นม โยเกิร์ต เต้าหู้ และบร็อคโคลี่ให้แคลเซียมสูง ในทางทฤษฎี การรับประทานอาหารอย่างสมดุลน่าจะให้วิตามินและแร่ธาตุที่เราต้องการอย่างเพียงพอ เมื่อคุณขาดวิตามินอย่างใดอย่างหนึ่งอย่างรุนแรงเท่านั้นและไม่ได้กินอาหารที่เหมาะสมจึงจำเป็นที่คุณจะต้องกินอาหารเสริม

ในกรณีที่คุณต้องการกินอาหารเสริม ควรปรึกษาแพทย์ก่อนที่คุณจะเลือกแผนการกินวิตามิน หลายคนพบว่าผลิตภัณฑ์อาหารเสริมให้ประโยชน์เพียงเล็กน้อยหรือแทบไม่มีเลย ทางที่ดีที่สุดคือมุ่งเน้นการบริโภคอาหารอย่างสมดุล สมบูรณ์ครบถ้วนด้วยโปรตีน กินแป้งไม่ผ่านการขัดสี และผักใบเขียวมากๆดีกว่าการกินอาหารเสริมราคาแพงๆ

จะเกิดอะไรขึ้นกับร่างกายถ้าคุณกินเกลือไม่เพียงพอ?

การลดการบริโภคเกลือเป็นสิ่งสำคัญต่อการรักษาระดับความดันโลหิต แต่ถ้ากินน้อยเกินไปก็สามารถเป็นอันตรายต่อหัวใจของคุณได้เช่นกัน

อย่างไรก็ดีผู้ใหญ่ที่มีสุขภาพแข็งแรงหลายคนก็ยังมีความเสี่ยงในการเกิดโรคหัวใจและโรคหลอดเลือดสมองเนื่องจากความดันโลหิตสูงหรือที่เรียกกันว่าเป็นโรคความดันโลหิตสูง (Hypertension) อีกทั้งมีมากรายที่บริโภคเกลือมากกว่าที่ควรซึ่งเป็นการเพิ่มความเสี่ยง แต่ก็ไม่ทุกคนที่จะต้องปรับเปลี่ยนหลักโภชนาการของตัวเองมารับประทานอาหารที่มีเกลือในปริมาณต่ำ

ในขณะที่การลดการบริโภคเกลือเป็นกุญแจสำคัญสำหรับผู้ที่มีความดันโลหิตสูง แต่ถ้าตัดเกลือมากเกินไปก็อาจทำให้คนไข้เหล่านั้นมีความเสี่ยงด้านโรคหัวใจและหลอดเลือดมากขึ้น

ร่างกายคนบางคนมีความไวต่อผลกระทบจากการบริโภคเกลือมากกว่าคนอื่น ๆ อย่างไรก็ตามการบริโภคเกลือมากเกินไปจะนำไปสู่​​การเก็บกักน้ำและความดันโลหิตสูง บรรดาผู้ที่มีความไวต่อโซเดียมหรือผู้ที่มีประวัติของปัญหาหัวใจหรือความดันโลหิตสูงอาจจะต้องลดปริมาณของเกลือ แต่ยังต้องให้แน่ใจว่าบริโภคเกลือในปริมาณที่เหมาะสม

การบริโภคโซเดียม (เกลือ) ต่ำกว่า 2,300 มิลลิกรัมต่อวันนอกจากจะไม่มีประโยชน์ต่อหัวใจแล้วยังมีแนวโน้มที่จะเป็นอันตรายอีกด้วย เกลือ 1 ช้อนชามีส่วนผสมของโซเดียมและคลอไรด์รวมกัน 2,325 มิลลิกรัม โซเดียมและคลอไรด์เป็นสารอิเล็กโทรไลท์ที่ช่วยรักษาสมดุลของของเหลว กระตุ้นเส้นประสาทและช่วยให้ร่างกายดูดซึมกลูโคส กรดอะมิโน น้ำและควบคุมความดันโลหิตของร่างกายได้ดี

ความสอดคล้องระหว่างการบริโภคเกลือและสุขภาพที่ดีควรรับประทานเกลือในปริมาณที่พอเหมาะโดยเฉพาะอย่างยิ่งในผู้ที่มีความดันโลหิตสูง

 

5 สัญญาณเตือนว่าคุณควรดื่มน้ำมากขึ้น

1 – เลินเล่อ
ปัญหาไม่ค่อยมีสมาธิในการทำกิจกรรมต่างๆ – ได้มีการวิจัยในหัวข้อภาวะร่างกายขาดน้ำว่ามีผลทำให้คนเราเกิดอาการวิตกกังวลสูง เมื่อยล้า หงุดหงิดง่าย ทำงานได้ไม่ดี มึนศีรษะ สับสน การดื่มน้ำน้อยยังเพิ่มความเสี่ยงก่อให้เกิดอันตรายเวลาใช้รถใช้ถนน

2 – อาการท้องผูก
อาการท้องผูกอาจเป็นสัญญาณเตือนว่าร่างกายกำลังขาดน้ำเรื้อรัง การดื่มน้ำมากๆเป็นวิธีที่ดีที่สุดในการรักษาโรคนี้

3 – สมรรถนะในการออกกำลังกายบกพร่อง
การได้วิ่งออกกำลังนอกสถานที่ช่วงอากาศร้อนๆช่วยขับเหงื่อได้มากเป็นพิเศษ แต่ถ้าคุณมีเหงื่อออกมากเกินไปและไม่แทนที่ด้วยของเหลวบ้าง ก็จะเกิดอัตราเสี่ยงกับอาการร้อนในและที่เลวร้ายกว่านั้นคือเพลียแดด อ่อนแรง หรือเวียนศีรษะเป็นต้น เพื่อป้องกันไม่ให้เกิดโรคภัยไข้เจ็บเกี่ยวกับอากาศร้อนๆ ก่อนออกกำลังกาย 20-30 นาที ควรดื่มน้ำในปริมาณ 15- 20 ออนซ์ เมื่อคุณรู้สึกร้อนมากๆควรจิบน้ำทุกๆ 20 นาทีระหว่างการออกกำลังกาย

4 – ปัญหาระบบทางเดินปัสสาวะ
เมื่อร่างกายได้รับน้ำไม่เพียงพอ ไตของคุณก็จะผลิตปัสสาวะได้น้อย ควรดื่มน้ำทันทีจะช่วยแก้ไขปัญหานี้ได้

5 – อาการปวดศีรษะ
แม้เพียงแค่อาการขาดน้ำไม่รุนแรงนักก็สามารถทำให้คุณปวดหัวได้บ่อยเช่นกัน ภาวะขาดน้ำหรือดื่มน้ำไม่พอย่อมลดระดับน้ำรอบ ๆเส้นประสาทไขสันหลังและสมองซึ่งอาจมีผลกระทบต่อความดันในสมองของคุณ ควรดื่มน้ำเพื่อช่วยบรรเทาอาการดังกล่าว

วิธีการสังเกตอาการเครียดในบุตรหลาน

คนหนุ่มสาวหรือคนโตๆวัยผู้ใหญ่ทั่วไปย่อมมีประสบการณ์เกี่ยวกับความเครียดซึ่งอาจจะมาจากหลายสาเหตุ ความเครียดถือเป็นส่วนหนึ่งของพัฒนาการในการเจริญเติบโต แต่สำหรับเด็กๆอายุยังน้อยบวกกับความคาดหวังในยุคนี้ค่อนข้างสูง จึงเป็นเรื่องยากลำบากในการที่พวกเขาจะรับมือได้ แก้ไขปัญหาเป็น

วิธีสังเกตความผิดปกติเกี่ยวกับบุตรหลานของคุณ

1 – ไม่อยากไปโรงเรียน
เป็นเรื่องปกติถ้าบางครั้งคุณได้ยินลูกหลานเด็กเล็กในครอบครัวบ่นไม่อยากไปโรงเรียน แต่ถ้าเด็กเป็นแบบนั้นบ่อยครั้ง คุณควรตระหนักนิดหนึ่งถึงต้นตอที่แท้จริงว่าทำไมเด็กถึงอยากอยู่บ้าน หลีกเลี่ยงการไปโรงเรียน อาจมีหลายสาเหตุที่ทำให้เด็กเครียด เช่น การบ้านเยอะ การพยายามปรับตัวให้เข้ากับเพื่อนๆ แย่ที่สุดคือเด็กอาจจะถูกเพื่อนที่โรงเรียนกลั่นแกล้งก็ได้

2. – เกรดวิชาตก
อีกสัญญาณที่บ่งบอกว่าเด็กอาจจะกำลังประสบกับปัญหาความเครียด ถ้าเด็กเคยเรียนดีได้เกรดเอหรือบี จู่ๆเกรดตกเป็นซีหรือดี ถึงเวลาต้องค้นหาสาเหตุว่าทำไมถึงเป็นเช่นนั้น เด็กๆสามารถรับความรู้สึกกดดันได้อย่างมากทั้งจากผู้ปกครองและครูในช่วงเวลาสอบ

3 – นิสัยการกินเปลี่ยนไป
กรณีนี้พฤติกรรมการกินอาหารจะเป็นตัวบ่งชี้คล้ายๆในผู้ใหญ่ ซึ่งสามารถเป็นได้สองทางคือรับประทานมากเกินไป กินเพื่อระบายความเครียด หรือกินได้นิดเดียวหรือหมดความอยากที่จะกินอาหารโดยสิ้นเชิง

4 – มักชอบพูดว่าไม่ค่อยสบาย
เป็นไปได้ว่า “อาการป่วย” เกิดจากความเครียดและความเครียดก็อาจจะปรากฏเป็นอาการทางกายภาพ เช่น อาการปวดหัวหรือปวดท้อง หากเกิดเหตุการณ์นี้บ่อยครั้งโดยเฉพาะในบางสถานการณ์ เช่น ก่อนสอบ เด็กอาจจะรู้สึกเครียด นอกจากนี้ความเครียดในเด็กอาจจะส่อออกมาทางพฤติกรรมอื่นๆได้ เช่น กระสับกระส่าย ไม่ค่อยอยู่นิ่ง

5. หลับไม่สนิทตลอดคืน
มักพบว่าเด็กที่มีปัญหาด้านความเครียดมีพฤติกรรมการนอนหลับไม่ดีนัก สาเหตุใหญ่อาจจะสืบเนื่องมาจากเทคโนโลยีที่ทันสมัย บุตรหลานของคุณอาจจะเล่นโทรศัพท์มือถือหรือไอแพดนานเกินไป ทำให้เด็กไม่อยากนอน เทคโนโลยีสมัยใหม่ให้คุณประโยชน์ไม่น้อย แต่คุณก็ต้องหมั่นคอยดูแลไม่ให้เด็กใช้พร่ำเพรื่อจนมีปัญหาในการนอนหลับ

6. มีทัศนคติในทางลบ
บุตรหลานของคุณดูเศร้าซึมขาดความสุขอยู่หรือเปล่า? คุณควรสังเกตพฤติกรรมบางอย่างของพวกเขาเผื่อบางทีเด็กงอแง เกเร ดื้อ ซน เพื่อเรียกร้องความสนใจจากคุณโดยที่เด็กเองก็ไม่รู้ตัว

คุณควรศึกษาพฤติกรรมของบุตรหลานว่าโดยปกติแล้วเด็กมีนิสัยอย่างไร เกิดการเปลี่ยนแปลงที่ผิดสังเกตบ้างหรือไม่

ถ้าคุณเริ่มสังเกตุเห็นความผิดปกติว่าเด็กมีแนวโน้มที่จะเป็นโรคเครียด อันดับแรกคุณควรปรึกษาแพทย์ บางครั้งเด็กอาจจะรู้สึกหวาดกลัว ไม่อยากไปเจอหมอ ในระยะแรกคุณควรไปพบหมอเพื่อพูดคุยปรึกษาหมอเกี่ยวกับอาการของลูกด้วยตัวเองก่อน
สวัสดีครับและยินดีต้อนรับคุณสู่คอลัมน์ “นานาสาระสุขภาพ” ฉบับแรกของบริษัทแปซิฟิค ครอส ประกันสุขภาพ

เราภูมิใจนำเสนอเนื้อหาสาระบทความต่างๆเพื่อเป็นข้อมูลเสริมช่วยให้คุณเข้าใจเกี่ยวกับการปฏิบัติตัวเพื่อสุขภาพที่ดีได้เหมาะสมมากขึ้น โดยเฉพาะอย่างยิ่งในยุคศิวิไลซ์ที่อาหารการกินอุดมสมบูรณ์ เทคโนโลยีก้าวหน้า ผู้คนมีความเป็นอยู่ที่ดี สุขสบายมากขึ้น แต่โรคภัยไข้เจ็บก็ตามมามากมายด้วยเช่นกัน

และเราก็หวังเป็นอย่างยิ่งว่าเกร็ดสุขภาพที่จัดหามานี้ จะช่วยให้คุณได้ทั้งการประหยัดเงินได้ทั้งความสุขกายสบายใจกับการมีสุขภาพที่ดี เหนือสิ่งอื่นใดสุขภาพของคุณและครอบครัวที่คุณรักเป็นสิ่งสำคัญที่สุด

ทอมทอมสัน
ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร
บริษัทแปซิฟิค ครอส ประกันสุขภาพ