ผู้ป่วยกลุ่มนี้นับเป็นผู้ป่วยมะเร็งที่รักษาได้ยากที่สุดกลุ่มหนึ่ง โดยมีจำนวนประมาณ 150,000 คนทั่วโลกต่อปี ซึ่งเป็นผู้ที่มะเร็งมีความรุนแรงจนดื้อต่อการรักษาด้วยฮอร์โมนมาตรฐาน แต่ยังไม่แพร่กระจายจนสามารถตรวจพบได้จากการถ่ายภาพทางการแพทย์ ผู้ป่วยเหล่านี้เข้าสู่ช่วงเวลาที่ตึงเครียด ซึ่งมักสิ้นสุดลงอย่างรวดเร็วด้วยการที่มะเร็งแพร่กระจายไปยังกระดูกและอวัยวะอื่น ๆ ก่อให้เกิดความเจ็บปวดอย่างมาก
เมื่อไม่นานมานี้ นักวิจัยได้ค้นพบจากการทดลองทางคลินิกอิสระว่า มียาสองชนิดที่สามารถช่วยผู้ป่วยกลุ่มนี้ได้ โดยช่วยยืดระยะเวลาออกไปอีกประมาณสองปีก่อนที่มะเร็งจะแพร่กระจายไปทั่วร่างกาย ซึ่งหมายความว่าผู้ป่วยจะมีเวลามากขึ้นก่อนที่จะต้องเผชิญกับความเจ็บปวดและอาการอื่น ๆ ที่ลุกลาม ตลอดจนความจำเป็นในการรับการรักษาด้วยเคมีบำบัดหรือการรักษาแบบอื่น ๆ
เมื่อไม่นานมานี้ นักวิจัยได้ค้นพบจากการทดลองทางคลินิกอิสระว่า มียาสองชนิดที่สามารถช่วยผู้ป่วยกลุ่มนี้ได้ โดยช่วยยืดระยะเวลาออกไปอีกประมาณสองปีก่อนที่มะเร็งจะแพร่กระจายไปทั่วร่างกาย ซึ่งหมายความว่าผู้ป่วยจะมีเวลามากขึ้นก่อนที่อาการเจ็บปวดและอาการอื่น ๆ จะแพร่กระจายออกไป และก่อนที่จะมีความจำเป็นต้องเข้ารับการรักษาด้วยเคมีบำบัดหรือการรักษาอื่น ๆ
โรคมะเร็งต่อมลูกหมากเป็นโรคมะเร็งที่พบบ่อยเป็นอันดับสองในผู้ชายทั่วโลก ผู้ป่วยที่อยู่ในการศึกษาล่าสุดเป็นผู้ที่เคยได้รับการรักษาโรคมะเร็งต่อมลูกหมากมาแล้ว เช่น การผ่าตัดและการฉายรังสี แต่ไม่ตอบสนองต่อการรักษามาตรฐานที่มุ่งป้องกันไม่ให้ฮอร์โมนเทสโทสเตอโรนจับและเข้าสู่เซลล์มะเร็ง ในการศึกษาดังกล่าว สองในสามของผู้ป่วยได้รับยากลุ่มต้านตัวรับแอนโดรเจน (androgen receptor inhibitors) ขณะที่อีกหนึ่งในสามได้รับยาหลอก (placebo) โดยผู้ป่วยทั้งหมดได้รับการรักษาด้วยการกดการสร้างแอนโดรเจน (androgen-deprivation therapy) อย่างต่อเนื่อง
การศึกษานี้ถือว่ามีความสำคัญทางวิทยาศาสตร์ เนื่องจากนำไปสู่การปรับปรุงผลการรักษา และข้อมูลเบื้องต้นชี้ว่ายาอาจช่วยยืดอายุการอยู่รอดของผู้ป่วย อย่างไรก็ตาม นักวิจัยจำเป็นต้องติดตามผู้ป่วยต่อไปในระยะยาวเพื่อยืนยันผลลัพธ์ดังกล่าว ยาทั้งสองชนิดดูเหมือนจะมีความปลอดภัย โดยมีผลข้างเคียงค่อนข้างน้อย ถึงกระนั้น ผู้เชี่ยวชาญบางรายได้เตือนว่าความคาดหวังเกี่ยวกับยากลุ่มใหม่นี้ควรถูกพิจารณาควบคู่ไปกับการเปลี่ยนแปลงอื่น ๆ ที่เกิดขึ้นในประเด็นการรักษามะเร็งต่อมลูกหมาก
แหล่งข้อมูลอ้างอิง : LIFE, หนังสือพิมพ์บางกอกโพสต์ (The Bangkok Post)